จุรินทร์ ตั้งเป้าปี 2025 เพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างไทย-เวียดนามเป็น 845,000 ล้านบาท หลังจบเจรจา JTC วันนี้
วันที่ 20 เมษายน 2565 เวลา 11.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นเจ้าภาพเปิดการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 4 กับนายเหวียน ห่ง เซียน (H.E. Mr. Nguyen Hong Dien) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ของประเทศเวียดนาม พร้อมด้วย นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายวิจักร วิเศษน้อย คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย ที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ
นายจุรินทร์ กล่าวว่า มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเวียดนาม เมื่อปีที่แล้วมีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้มีการตั้งเป้าปี 2025 จะเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันเป็น 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในการประชุมวันนี้ฝ่ายไทย โดยตนเสนอขอความสนับสนุนจากทางเวียดนามหลายประเด็นเช่น
ประเด็นที่หนึ่ง ขอให้ทางการเวียดนามช่วยเจรจากับรัฐบาลจีนในฐานะประเทศที่มีชายแดนติดกัน เพื่ออำนวยความสะดวกการส่งผลไม้ไทยผ่านด่านเวียดนามไปจีน เช่น 1.ด่านโหย่วอี้กวานของจีน ที่อยู่ตรงข้ามกับด่านหวูหงิของเวียดนาม ปัจจุบันเปิดทำการตั้งแต่ 8.00-19.00 น. ขอให้เวียดนามช่วยเจรจากับจีนให้เปิดเป็น 24 ชั่วโมง 2.ด่านรถไฟผิงเสียงกับด่านรถไฟด่งดังของเวียดนาม เปิดทำการ 8.30-18.00 น. ขอให้ขยายเป็น 24 ชั่วโมง 3.ด่านตงซิงของจีนกับด่านหม่องก๋ายของเวียดนามซึ่งขณะนี้ปิดทำการขอให้ทางเวียดนามช่วยเจรจาอีกครั้งให้เปิดด่านต่อไป และขอให้เวียดนามและจีนช่วยเพิ่มช่องทางกรีนเลน (Green Lane)อำนวยความสะดวกส่งสินค้าไทย ที่ผ่านกระบวนการปลอดโควิดตามมาตรฐานเข้าจีนให้เร็วขึ้น และขอให้ช่วยเจรจาทั้ง 2 ฝ่ายเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกมากขึ้น ท่านรัฐมนตรีเวียดนามแจ้งว่าเวียดนามยินดีที่จะส่งเสริมกรีนเลนให้กับฝ่ายไทย แต่การเจรจากับจีนต้องหารือกันต่อไปเพราะเป็นนโยบายซีโร่โควิดของจีน ตนทำหนังสือถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับด่านของจีนแล้ว ขอโอกาสในการหารือเพราะผลไม้ไทยกำลังเริ่มออกในเดือนพฤษภาคมนี้
ประเด็นที่สอง ขอให้ทางการเวียดนามยกเลิกการระงับการนำเข้าสินค้า 3 ตัวจากไทย คือ 1.เนื้อไก่ 2.เงาะ และ3.มะม่วง ซึ่งท่านรัฐมนตรีเวียดนามรับไปพิจารณาต่อไป
ประเด็นที่สาม เรื่องการส่งออกยาของไทยไปเวียดนาม ซึ่งได้มีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมนอกเหนือจากข้อตกลงอาเซียน ขอให้ทางเวียดนามช่วยปรับปรุงให้เป็นไปตามข้อตกลงอาเซียน ยกเลิกเอกสาร มาตรการที่เกินข้อตกลง ท่านรัฐมนตรีจะเข้าไปปรับปรุงแก้ไขให้ต่อไป
ประเด็นที่สี่ ตนขอให้ทางเวียดนามช่วยประชาสัมพันธ์การจัดงานแสดงสินค้าไทยในเวียดนาม โดยเฉพาะงาน Mini Thailand Week ที่จะจัดขึ้นกลางปีนี้ ที่นครเกิ่นเทอและเมืองกว่างนิงห์ ท่านรัฐมนตรีรับปากจะอำนวยความสะดวกและจะส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมงานด้วย
ประเด็นที่ห้า ตนขอให้เวียดนามสนับสนุนให้ไทยใช้แพลตฟอร์มของเวียดนามเป็นช่องทางในการกระจายสินค้าสู่มือผู้บริโภคต่อไป ไม่ว่าจะเป็น Shopee Lazada เวียดนาม TIKKI และ Sendo ซึ่งท่านรัฐมนตรีเวียดนามสนับสนุนและไทยจะสนับสนุนให้สินค้าเวียดนามเข้ามาขายในแพลตฟอร์มไทยด้วยเช่นเดียวกัน
ประเด็นที่หก ขอให้เวียดนามสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานสะอาดของนักลงทุนไทยในเวียดนาม เร่งเปิดการประชุมร่วมในการส่งเสริมพลังงานสะอาดเพื่อเพิ่มการลงทุนระหว่างกันโดยเร็วที่สุด เบื้องต้นควรดำเนินการได้ในไตรมาสที่ 2 หรือ 3 เป็นอย่างช้าในปีนี้
ประเด็นที่เจ็ด ประเด็นแรงงานเวียดนาม ขอให้เวียดนามสนับสนุนแรงงานเพิ่มเติมจากปัจจุบัน ประมงกับก่อสร้าง ขอให้เพิ่มอีก 2 สาขาคือ แม่บ้านและผู้ใช้แรงงาน
ประเด็นที่แปด ขอให้เวียดนามเร่งขึ้นทะเบียนจีไอ สำหรับลำไยอบแห้งเนื้อสีทองลำพูนของไทยที่ไปขอขึ้นทะเบียนไว้
ส่วนที่ประเด็นที่ท่านรัฐมนตรีเวียดนามได้นำมาหารือ
ประเด็นแรก เรื่องการขาดดุลการค้าที่เวียดนามขาดดุลการค้ากับไทยมาก ซึ่งตนพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนงานต่างๆที่เวียดนามจะมาจัดในไทย อย่างไรก็ตามปีที่แล้วการนำเข้าสินค้าเวียดนามมาไทยเป็นบวกถึง 27%
ประเด็นที่สอง เวียดนามขอให้ไทยเร่งออกใบอนุญาตนำเข้าผลไม้ 5 ชนิด คือ ส้มโอน้อยหน่า เสาวรส ลูกน้ำนมและเงาะ ตนเสนอให้เวียดนามใช้ช่องทาง MoU ที่ทำกับกระทรวงเกษตรฯของไทยเป็นเวทีหารือต่อไป
ประเด็นที่สาม ขอให้ท่าเรือของเราลดขั้นตอนการตรวจสินค้า รวมทั้งช่วยตรวจเอกสารให้เร็วขึ้น กระทรวงการคลังและคมนาคม รับเรื่องนี้ไปปรับปรุงอำนวยความสะดวกให้
ประเด็นที่สี่ ขอให้ทางไทยร่วมสนับสนุนจัดงานแสดงสินค้าของเวียดนามในประเทศไทยในห้างสรรพสินค้าต่างๆ ซึ่งตนเรียนว่ากระทรวงพาณิชย์ไทยยินดีสนับสนุน
และทั้ง 2 ฝ่ายมีความเป็นห่วงเรื่องสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการค้าของทั้ง 2 ประเทศ และมีผลกระทบต่อเกือบทุกประเทศในโลก ไทยกับเวียดนามจำเป็นที่จะต้องจับมือกันให้แน่นแฟ้น รวมทั้งประเทศสมาชิกอาเซียน เพราะจะมีส่วนช่วยทำให้เราร่วมกันแก้ไขสถานการณ์ปัญหาต่างๆทางการค้าการลงทุนร่วมกันได้อย่างมีน้ำหนักยิ่งขึ้น และตนชวนท่านเข้าร่วมการประชุมเอเปกในปลายปีที่จะถึงนี้ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการประชุม นายจุรินทร์ได้เดินชมกิจกรรมที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจออนไลน์ ( OBM) ซึ่งจัดคู่ขนานการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 4 มีคู่เจรจา 47 คู่ จากผู้นำเข้า 12 ราย ผู้ส่งออก 31 ราย คาดมูลค่าซื้อขาย 30 ล้านบาท โดยสินค้าไทยที่ได้รับความสนใจ ได้แก่ อาหารและผลไม้แปรรูป เครื่องดื่ม ของขบเคี้ยว ซอสปรุงรส เครื่องสำอาง สปา ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว แชมพู ของเล่นเด็ก และ น้ำมันเครื่อง เป็นต้น นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะมีการจัดงานแสดงสินค้า Mini Thailand Week 2022 ที่เวียดนาม จำนวน 2 ครั้ง โดยจัดที่ นครเกิ่นเทอ วันที่ 20 - 22 พฤษภาคม 2565 และเมืองกว่างนิงห์ วันที่ 16 - 19 มิถุนายน 2565 คาดว่าจะสร้างมูลค่าการค้าอีกไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท
กมล เครือนิล ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" Fast News สำนักข่าว เชียงใหม่อัปเดตนิวส์ รายงาน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น