<<<<<..... ลักษณะอากาศทั่วไป วันนี้ ( 20 มกราคม 2567 ) เวลา 06.00 น. วันนี้ถึง 06.00 น.ของวันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ....ตอนบนของภาค อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 12-16 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ตอนล่างของภาค อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 16-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 4-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม. กมล เครือนิล ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" สำนักข่าว เชียงใหม่ อัปเดตนิวส์ รายงาน. แหล่งที่มาของข้อมูล : กรมอุตุนิยมวิทยา - https://www.tmd.go.th/thailand.php .....................................................>>>>

โครงการ “เพื่อนช่วยเพื่อน” จากใจศิลปิน-นักดนตรี เมืองเชียงใหม่



"ที่นี่....เชียงใหม่" มีข่าวดีๆมาแจ้งให้ทราบจากกลุ่มศิลปินและนักดนตรีของจังหวัดเชียงใหม่ในโครงการ “เพื่อนช่วยเพื่อน” จากการรวมกลุ่มของ เอก ตะเกียง , แมว mp3 , น้อง ปฎิณญา อ้ายต้อม cm77, ไม้เมือง , ครูช้าง , แซมมี่ ,  เสก ซีเอ็มสกาย  และนักดนตรีและศิลปินใน จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีแนวคิดที่จะช่วยเหลือเพื่อนนักดนตรี ที่มีความเดือดร้อนในเรื่องสุขภาพ และค่ารักษาพยาบาลในเบื้องต้น ในยามที่เจ็บป่วย ตกงานและขาดทุนทรัพย์โดยมีชื่อโครงการว่า “เพื่อนช่วยเพื่อน” และจะมีการเปิดตัวกิจกรรมเล่นดนตรีเปิดกล่องครั้งแรก ในวันอาทิตย์ ที่ 31 ม.ค.2559 นี้ ณ บริเวณสี่แยกกลางเวียง ถนนคนเดินท่าแพ เชียงใหม่ สำหรับท่านที่อยากมีส่วนร่วมในโครงการนี้เรียนเชิญชมการแสดงและร่วมช่วยเหลือได้
ติดต่อได้ที่……..อ้ายต้อม สถานีวิทยุcm77 วิทยุอินเทอร์เน็ตล้านนา  เชียงใหม่ 053-327677 //เอก ตะเกียง เบอร์ 086-9234235

ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" สำนักข่าว เชียงใหม่อัปเดตนิวส์ รายงาน

แรงงานข้ามชาติร้อยกว่าคนร้องจังหวัดหลังถูกนายจ้างเบี้ยวค่าแรงแถมปิดบริษัทหนี


"ที่นี่....เชียงใหม่" แรงงานข้ามชาติกว่า ๑๒๐ คนเดือดร้อนหนักหลังนายจ้างเบี้ยวค่าจ้างรวมกว่าสามล้านบาทแถมปิดบริษัทหนี วอนจังหวัดช่วยเหลือด่วน
เมื่อเวลา ๐๙.๐๐ น.วันที่ ๒๗ ม.ค. ๕๙ ที่ ด้านหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ สหพันธ์คนงานข้ามชาติ ได้นำกลุ่มผู้ใช้แรงงานข้ามชาติกว่า ๑๒๐ คน เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนขอความช่วยเหลือหลังถูกนายจ้างงดจ้างแบบกระทันหัน  และไม่ยอมจ่ายเงินค่าจ้าง ที่รวมกันแล้ว ๓ ล้านกว่าบาท ทำให้ลูกจ้างที่เป็นแรงงานข้ามชาติถูกลอยแพ และตอนนี้ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะไร้ที่พักอาศัยด้วย จึงได้ขอให้ทางจังหวัดเชียงใหม่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยเหลือ  ต่อมาท่านผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมายให้นายประจวบ กันธิยะ ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ และนายธรรศณัฎฐ์ นุชแสงพลี สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ ได้เดินทางพบกลุ่มผู้ชุมนุม และรับหนังสือข้อเรียกร้องดังกล่าว
ทางด้านนายอุ้มเครือ เครือแสง ประธานสหพันธ์คนงานข้ามชาติ เปิดเผยว่า คนงานที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งหมดนั้น มีจำนวนประมาณ ๒๐๐คน ซึ่งถูกว่าจ้างจากห้างหุ้นส่วนจำกัด เปอร์เฟตโต จ.เชียงใหม่ ที่รับเหมาก่อสร้างทั้งหมด 3 โครงการใน พื้นที่ จ.เชียงใหม ทั้งหมู่บ้านจัดสรร และคอนโดมิเนียม หลายแห่ง ต่อมาทางห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว ไม่ยอมจ่ายเงินค่าจ้างให้ ซึ่งเป็นเงินค่าจ้างในห้วงระหว่างวันที่ ๑๖ ธ.ค. ๕๘- ๑๕ ม.ค. ๕๙ ต่อมาทางกลุ่มผู้ใช้แรงงานได้ทวงถามค่าจ้าง ไปที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว และได้มีการผลัดจ่ายเรื่อยมา จนไม่สามารถติดต่อได้ทั้งทางโทรศัพท์และสำนักงาน เนื่องจากได้ปิดทำการสำนักงานลง พวกตนเองจึงเข้าใจได้ว่าได้ถูกเลิกจ้างและไม่ได้รับค่าจ้างส่วนที่เหลือ ประกอบกับทาง แคมป์ที่พักอาศัยก็ไม่ได้จ่ายค่าเช่า ทำให้ต้องถูกตัดน้ำ ตัดไฟ อยู่กันอย่างลำบาก หลังจากที่ติดต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวไม่ได้แล้ว ทางกลุ่มผู้ใช้แรงงานจึงได้ขอความช่วยเหลือไปยังมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาและสหพันธ์คน งานข้ามชาติ (Migrant Workers Federation) เพื่อให้ช่วยดำเนินการตามสิทธิ์ของกฎหมาย เนื่องจากแรงงานทำงานแล้วไม่ได้รับค่าจ้างตามที่ตกลงกัน อีกทั้งแรงงานไม่มีความรู้และเข้าใจสิทธิและขั้นตอนของกฎหมาย จึงได้ขอความช่วย เหลือดังกล่าว 
นายประจวบ กันธิยะ ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยกับผู้สือข่าวว่า แนวทางการช่วยเหลือนั้นก็คือทางจังหวัดจะให้การช่วยเหลือในเรื่องเงินเยียวยา โดยจะให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานไปแจ้งเรื่องกับทางสำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นก็จะได้ส่งต่อเรื่องขอทดแทนการขาดรายได้มาที่ประกันสังคม เพื่อดำเนินการเยียวยาให้ และทางสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ ก็มีเงินกองทุนเยียวยาอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยเหลือ อีกด้านหนึ่งก็จะส่งหนังสือไปถึงห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว เพื่อให้รับทราบข้อกำหนดทางกฎหมายว่าต้องชำระเงินให้กับกลุ่มแรงงานทั้งหมด โดยให้เวลาประมาณ ๔๕ วันแล้ว ทางจังหวัดเชียงใหม่ ก็จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายเพื่อดำเนินคดีกับห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว และหากกลุ่มผู้ใช้แรงงานต้องการที่จะแจ้งความดำเนินคดีทางอาญากับห้างหุ้นส่วนดังกล่าว ก็สามารถทำได้ โดยการไปแจ้งความเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย

ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" สำนักข่าว เชียงใหม่อัปเดตนิวส์ รายงาน








มทภ.3 คิกอ๊อฟ ปราบหมอกควันเหนือ


มทภ.3 คิกอ๊อฟ ปราบหมอกควันเหนือ ย้ำ 15 ก.พ.-15 เม.ย.ห้ามเผาเด็ดขาด ขณะที่ปีนี้แล้งหนัก กองทัพบกออกโครงการลงพื้นที่แก้ปัญหาทันทีทุกพื้นที่ ภายใน 2 อาทิตย์ ด้วยงบประมาณโครงการละไม่เกิน 3 แสนบาท 

เมื่อเวลา 10.30น. วันนี้ (14 มกราคม) ที่กองพันพัฒนาที่3 อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ พล.ท.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล มทภ.3 ในฐานะ ผอ.ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันภาค 3 ส่วนหน้า ได้เดินทางมาเป็นประธาน กิจกรรมคิกอ๊อฟ รณรงค์เพื่อแก้ไขป้องกันการเกิดไฟป่าและหมอกควัน ประจำปี 2559 โดยมีหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องอาทิ อบจ.เชียงใหม่,เทศบาลนครเชียงใหม่,สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16,สถานีควบคุมไฟป่า,เชียงใหม่ ปภ.เขต10 ลำปาง รวมทั้งนักเรียน และเยาวชนร่วมงานกว่า 2,500 คน
โดยกิจกรรมในงานมีการจัดนิทรรศการ การสาธิตการกำจัดวัชพืชทางการเกษตรเพื่อหลีกเลี่ยงการเผา สาธิตการทำแนวกันไฟ และความพร้อมของยุทโธปกรณ์ในการการดับไฟของจังหวัดเชียงใหม่ นอกจากนั้นยังได้มีการแสดงละครสมมติเกี่ยวกับปัญหาเรื่องไฟป่าหมอกควันและการเผาพืชผลเกษตรที่ทำให้เกิดผลเสียและแนวทางแก้ไขปัญหา และแสดงโชว์การดับไฟป่าโดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยี ทั้งเครื่องพ่นน้ำบังคับ และการใช้เฮลิคอปเตอร์โปรยน้ำดับไฟ นอกจากนั้นยังมีการแสดงความสามารถของทหารม้า จากกองพันสัตว์ต่าง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ และการเดินสวนสนามจากเจ้าหน้าที่ทหารภายในจังหวัดเชียงใหม่,นศ.วิชาทหาร และนักเรียนจากหลายโรงเรียนภายในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย
 พล.ท.สมศักดิ์ เปิดเผยว่า  พื้นที่ภาคเหนือของไทย ต้องประสบกับปัญหาไฟป่าและหมอกควันเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะในห้วงเดือนมกราคม ถึง เดือนมีนาคม ก่อให้เกิดความเสียหายต่อธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม  ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน  การคมนาคมทั้งทางบก และทาง อากาศ และกระทบต่อการท่องเที่ยวในพื้นที่ และเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือนั้น เกิดจากสาเหตุ 2 ประการ ได้แก่  เกิดจากธรรมชาติ เช่น  ลักษณะภูมิประเทศ สภาวะอากาศที่แห้งแล้ง  และการพัดผ่านของลมมรสุมที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล  ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ เป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้  
แต่สาเหตุหลัก ที่ก่อให้เกิดปัญหาไฟป่าและหมอกควันได้แก่การกระทำของมนุษย์  เช่นการหาของป่า  ล่าสัตว์ การเผาไร่ การเผาขยะและการเผาหญ้าบริเวณข้างเส้นทางคมนาคม ซึ่งในส่วนนี้สามารถควบคุมได้ ด้วยการรณรงค์สร้างจิตสำนึก และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน  ให้หยุดพฤติกรรมต่างๆ ขณะที่ในวันนี้ ได้พบว่าทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่างตื่นตัว สามัคคี มีความพร้อมเพรียง และความตั้งใจจริงในการแก้ไขปัญหาหมอกควันอย่างจริงจัง ทำให้มีความมั่นใจว่า ปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ จะลดระดับความรุนแรงลงได้ในที่สุด
 นอกจากนั้น จากที่ได้มีการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจถึงชุมชน อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ชาวบ้านเองก็มีความตื่นตัวและตระหนักถึงผลเสียของการเผามากขึ้นมีการประยุกต์สิ่งของเครื่องใช้ และพัฒนานวัตกรรมในการช่วยดับไฟป่า อาทิ ติดถังน้ำกับรถจักรยานยนต์เพื่อเข้าดับในพื้นที่ ที่รถขนาดใหญ่และรถยนต์เข้าไม่ถึง  ถือเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่ให้ผลดีเยี่ยม ขณะที่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ทหารได้แบ่งกำลังออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆได้แก่ ส่วนของการรณรงค์ป้องกันไฟป่าและหมอกควัน เกือบครบทุกพื้นที่เป้าหมายในพื้นที่เสี่ยง และอีกส่วนที่สำคัญคือส่วนของชุดดับไฟป่า มีการจัดชุดปฏิบัติการในภาคเหนือ จำนวน 110 ชุด เฉพาะของทหาร 
 “ในห้วงตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2558 ที่ผ่านมาจนถึง วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 จะมีการเข้มงวดด้านการลดพื้นที่การเผา และหากจำเป็นต้องเผาจริง ก็จะจัดการเผาอย่างเป็นระบบควบคุมและจำกัดพื้นที่การเผา หลังจากนั้นในห้วง 15 กุมภาพันธ์ จนถึง 15 เมษายน 2559 หรือ 60 วันงดเผาป้องกันหมอกควันพิษ จะมีมาตรการห้ามเผาอย่างจริงจัง และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จับจริง ปรับจริง   เนื่องจากในช่วงดังกล่าวจะมีความกดอากาศจากประเทศจีนเข้ามาในพื้นที่ภาคเหนือ หากเกิดควันไฟต่างๆ จะไม่สามารถระบายออกได้ทำให้เกิดปัญหามลพิษหมอกควันปกคลุม ซึ่งปัจจุบันทุกอำเภอทกจังหวัดได้ทำแผนการดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น แม้ว่าภาพรวมในปีนี้ คาดว่าจะแล้งรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา แต่จากความพร้อมและการดำเนินการป้องกันอย่างต่อเนื่องแล้ว เชื่อว่าในปีนี้พื้นที่การเผาจะลดลง และสามารถระงับหมอกควันไฟป่าไม่ให้มากกว่าปีที่แล้ว หรืออาจจะน้อยกว่าปีที่ผ่านๆมาได้” พล.ท.สมศักดิ์ กล่าว
 พล.ท.สมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่เรื่องของการป้องกันภัยแล้งนั้น ได้มีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ชี้แจงสร้างความเข้าใจแก่ชาวบ้านแล้วว่า ปีนี้แล้งหนักกว่าทุกปีที่ผ่านมา ต้องมีการปรับตัวและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต โดยดำเนินการตาม 8 มาตรการของรัฐบาล ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุน การขยายเวลาชำระหนี้ และการสนับสนุนส่งเสริมการผลิต เป็นต้น โดยพยายามแก้ปัญหาอย่างตรงจุดมากที่สุด 
 “โดยขณะนี้ พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ออกโครงการที่ชื่อว่า คนไทยหัวใจเดียวกัน ซึ่งเป็นการบูรณาการร่วมระหว่าง กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยประจำพื้นที่ ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ฯ ร่วมกับศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัด ของทุกจังหวัด ลงพื้นที่สอบถามปัญหาของประชาชน โดยไม่ต้องรอราษฎรมาบอกปัญหาความเดือดร้อน ซึ่งหลายปัญหาสามารถแก้ปัญหาได้ทันที ยกตัวอย่างเช่นการสร้างฝาย ขุดบ่อบาดาล การปรับปรงระบบประปาหมู่บ้าน และการขดลอกคูคลอง ซึ่งแท้จริงแล้วใช้เวลาและงบประมาณไม่มากนัก โดยอนุมัติได้ทันทีในการใช้งบประมาณ 1แสน ถึง 3 แสนบาทต่อโครงการ อาทิ รับทราบปัญหาวันนี้ อีกวันก็สามารถดำเนินการแก้ปัญหาได้ทันที และปัญหาจะหมดลงภายในเวลา 2 อาทิตย์ เท่านั้น” พล.ท.สมศักดิ์ กล่าว
ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" สำนักข่าว เชียงใหม่อัปเดตนิวส์ รายงาน








BEAUTY iCONCEPT สถาบันสักเสริมความงามถาวรกึ่งการแพทย์แห่งแรกของประเทศไทย


BEAUTY iCONCEPT สถาบันสักเสริมความงามถาวรกึ่งการแพทย์แห่งแรกของประเทศไทย ชูบริการสักสวย ปลอดภัย มาตรฐานสถานพยาบาล และคอร์สเรียนมืออาชีพที่มีโปรแกรมส่งเสริมการตลาดให้ผู้เรียนทุกคน พร้อมเปิดดาวน์โหลดฟรี Mobile Application “iCONCEPT” หวังให้เป็นบันทึกความงามส่วนบุคคล และโมชั่นเปิดสถาบัน ส่วนลดค่าเรียน ๑๐,๐๐๐ และสักคิ้วฟรี

เชียงใหม่ – เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคมที่ผ่านมา ณ บริษัท บิวตี้ ไอคอนเซป จำกัด (สำนักงานใหญ่) ในโครงการอรสิรน บิสิเนสเซ็นเตอร์ ๓ (ท่ารั้ว) อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เจ้าดวงเดือน ณ เชียงใหม่ เป็นประธานในพิธีเปิด BEAUTY iCONCEPT สถาบันสักเสริมความงามถาวรกึ่งการแพทย์แห่งแรกของประเทศไทย โดยมี นายสว่าง หนักแน่น นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลสันปูเลย นางสาวปภัสรินทร์ ศิริพัฒน์กิตติ ผู้เชี่ยวชาญการสักเสริมความงามถาวรกึ่งการแพทย์ ๑๓ คนแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายสุรชัย วิศิษฎ์พงษ์อารีย์ นางสาวยวิษฐา วงศ์จินดารักษ์ และ นางสาวกุลวรินทร์ ศิริพัฒน์กิตติ ทีมกรรมการบริหารสถาบัน ร่วมในพิธี ท่ามกลางบุลคลที่มีชื่อเสียงและสื่อมวลชนจำนวนมาก
บริการของ BEAUTY iCONCEPT มีดังนี้
๑. บริการสักเสริมความงาม แยกเป็นสักเสริมความงามสำหรับชาย และสตรี ได้แก่ สักคิ้ว ขอบตา ปาก
ชมพู สักไรผมแต่งหรอบหนาและพรางศรีษะล้าน และสักเชิงการแพทย์ ได้แก่ ตกแต่งแผลเป็นจากไฟไหม้ ตแต่งแผลเป็นจากการผ่าตัด ตกแต่งปานนมสำหรับผู้ป่วยผ่าตัดมะเร็งเต้านม ตกแต่งขาลายและน่องลายจากความอ้วนและคลอดบุตร ตกแต่งริมฝีปาให้ได้รูปสำหรับผู้ผ่าตัดปิดปากแหว่งเพดานโหว่ ด่างขาว และแผลเย็บต่าง ๆ ด้วยสีออร์กนิคที่ปลอดภัย แม้ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในระยะการให้เคมีบำบัดก็ทำได้ อีกทั้งมีใบ MDS: Material Data Sheets ข้อมูลสีสักให้ลูกค้าปรึกษาขออนุมัติจากแพทย์ประจำตัวก่อนการรับบริการ
๒. บริการสอน ซึ่งมีการสอนหลายหลักสูตร ตั้งแต่พื้นฐานมืออาชีพ จนถึงเทคนิคขั้นสูง และคอร์สผู้ฝึกสอน ที่สามารถกลับไปทบทวนได้ตลอดชีวิต ทุกหลักสูตรมีใบประกาศนียบัตรรับรองจากสถาบัน พร้อมโปรแกรมส่งเสริมการตลาดออนไลน์ และระบบจัดการข้อมูลลูกค้า ให้สามารถไปประกอบอาชีพสร้างรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน
๓. บริการส่วนงานขาย มีการขายอุปกรณ์การสัก สีสำหรับสัก ทั้งออร์แกนิค และมาตรฐานทั่วไป
อีกทั้งชูความทันสมัยด้วยการเทคโนโลยีออนไลน์บวกโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้บริการสองฝั่ง ทั้งฝั่งผู้ให้บริการ และฝั่งผู้รับบริการ ด้วยระบบจัดการและบันทึกข้อมูลการบริการในรูปแบบ Mobile Aplication ชื่อ iCONCEPT พร้อมให้ดาวน์โหลดฟรีในระบบ Android และสำหรับ iOS จะตามมาเร็ว ๆ นี้ ในแอปพลิเคชั่นสามารถบันทึกคำร้องใช้บริการ และจองคิวเข้ารับบริการ ที่จะอำนวยความสะดวกให้ทั้งร้านสักและลูกค้า ด้วยนโยบายความเป็นส่วนตัวมีมาตรฐานความปลอดภัยของข้อมูล ลูกค้าสามารถค้นหาร้านสัก และถ่ายรูปส่งข้าร้านที่ต้องการใช้บริการเพื่อประเมินการให้บริการและราคาเบื้องต้น หลังสักก็สามารถกลับมาดูข้อมูลบริการ และวิธีการดูแลหลังการสัก อีกทั้งสามารถแชร์ภาพไปยัง social network รวมถึงระบบเตือนเมื่อถึงเวลาเติมสี สำหรับร้านสักก็สามารถใช้เป็นบันทึกประวัติลูกค้า สุขภาพ สีที่ใช้ ภาพก่อน-หลังรับบริการสัก ปฏิทินนัดหมาย และใส่ข่าว-โปรโมชั่นของร้านได้
เพื่อเป็นการฉลองเปิดบริการ BEAUTY iCONCEPT มอบส่วนลดค่าเรียน ๑๐,๐๐๐ บาท และลุ้นรับการสักคิ้วฟรี เพียงกด like เฟซบุ๊ก Beauty I Concept: facebook.com/PapasEyebrowsDesignStudio และแจ่งโรโมชั่นที่ต้องการใน comment ของโพส (ส่วนลดค่าเรียน หรือสักคิ้วฟรี) ตั้งต่บัดนี้ถึง ๓๑ มกราคมนี้ โยจะประกาศผลทางเฟซบุ๊กในวันที่ ๕ กุมภาพันธ์นี้

สอบถามรายละเอียดและนัดรับบริการล่วงหน้าได้ที่ BEAUTY iCONCEPT โทร. ๐๙๐ ๕๙๖๙๙๕๔ เว็บไซด์ www.beautyiconcept.com และเฟซบุ๊ก Beauty I Concept: facebook.com/PapasEyebrowsDesignStudio

ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" สำนักข่าว เชียงใหม่อัปเดตนิวส์ รายงาน






กรมชลฯนำสื่อลงพื้นที่ติตามโครงการอุโมงค์ผันน้ำแม่งัด-แม่กวง


กรมชลประทาน นำสื่อลงพื้นที่ชมคืบหน้าอุโมงค์เชื่อมชลประทานแม่แตง-เขื่อนแม่งัด- เขื่อนแม่กวง ระยะแรก เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำทั้งแล้งและท่วม หลังล่าช้าติดปัญหาการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่า พร้อมยันมีการเปิดรับฟังความเห็นและชี้แจงทำความเข้าใจในพื้นที่มาโดยตลอด หลังชาวบ้านยื่นหนังสือเรียกร้องชะลอโครงการล่าสุด ย้ำทุกอย่างมีขั้นตอนดำเนินการชัดเจนไม่มีเงื่อนงำและพร้อมให้ข้อมูลแก่ประชาชนเต็มที่

เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมานายวิทย์ วงษ์กมลชุณห์ ผู้อำนวยการสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดใหญ่ที่ 1 สำนักพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ กรมชลประทาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมาทางโครงการฯพร้อมผู้บริหารสำนักชลประทานที่ 1 เชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำคณะสื่อมวลชนในจังหวัดเชียงใหม่ส่วนหนึ่งลงพื้นที่ตรวจติดตามความคืบหน้าของโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธาราจังหวัดเชียงใหม่ ที่บริเวณพื้นที่ก่อสร้างอุโมงค์เข้า-ออก หมายเลข 6 ที่จะเชื่อมต่อกับอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่งัด-แม่กวง ซึ่งอยู่ใกล้กับเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ที่เป็นระยะดำเนินการแรก ตามโครงการที่จะมีการสร้างดุลยภาพของปริมาณน้ำและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพทั้งฤดูน้ำหลากและน้ำแล้งในเชียงใหม่และใกล้เคียง เพราะปัจจุบันวิกฤตภัยแล้งเริ่มรุนแรงทุกปีปริมาณน้ำต้นทุนเหลือน้อย อีกทั้งปริมาณความต้องการมีเพิ่มมากขึ้นทั้งภาคการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ประมงเลี้ยงสัตว์ และโครงการดังกล่าวมีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการประเมินในด้านต่างๆมาต่อเนื่องหลายปีจนสามารถดำเนินการได้ในช่วงนี้ โดยก่อนนำคณะลงดูพื้นที่ก่อสร้างขุดเจาะอุโมงค์ ได้มีการบรรยายสรุปข้อมูลต่างๆ ที่สำนักงานโครงการฯ

ส่วนกรณีล่าสุดที่ตัวแทนกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ 2 หมู่บ้าน ตำบลกื้ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเรียกร้องให้มีการชะลอและทบทวนโครงการฯนี้ ในส่วนของการก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำช่วงแม่แตง-แม่งัด โดยระบุว่า ขาดการมีส่วนร่วมและหวั่นเกรงผลกระทบสิ่งแวดล้อมนั้น นายวิทย์ กล่าวว่า โครงการนี้ผ่านการศึกษาและจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA แล้ว พร้อมยืนยันว่าที่ผ่านมามีการลงพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจและเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างเปิดเผยมาตลอด อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความไม่เข้าใจขึ้นมาก็จะมีการปรับแผนการให้ข้อมูลและทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ให้มากกว่าเดิม


 ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" สำนักข่าว เชียงใหม่อัปเดตนิวส์ รายงาน













ทีมสำรวจทางธรณีฟิสิกส์ สำรวจพื้นที่ข่วงหลวงเวียงแก้ว


ทีมสำรวจทางธรณีฟิสิกส์ สำรวจพื้นที่ข่วงหลวงเวียงแก้ว(ทัณฑสถานหญิงเดิม) ตรวจพบวัตถุบางอย่างอยู่ใต้ผิวดินลึกประมาณ 50 เซนติเมตร จากการสะท้อนกลับของสัญญาณเรดาร์จากเครื่อง GPR

จากการลงพื้นที่สำรวจทางธรณีฟิสิกส์ ของทีมจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำโดย ผศ.ดร.กฤษณ์ วันอินทร์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดทำแผนผังปัจจุบัน เป็นกรอบในการทำงาน ทดสอบเครื่องมือ GPR หรือ เรดาร์ทะลุพื้นดิน เมื่อเริ่มทำการสำรวจในเบื้องต้น บริเวณรอบนอกทัณฑสถานหญิงเดิม มีการสะท้อนกลับของสัญญาณที่บ่งบอกว่าพบวัตถุบางอย่าง อยู่ใต้ผิวดินลึกประมาณ 50 เซนติเมตร ความกว้างของวัตถุประมาณ 50 เซนติเมตร ถึง 1 เมตร ซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นวัตถุโบราณ หรือเป็นวัตถุชนิดใด และไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นสิ่งก่อสร้างหรือไม่ ต้องรอการประมวลผล โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และความเชี่ยวชาญของนักวิชาการ หลังจากสำรวจพื้นที่ทั้งหมดให้แล้วเสร็จ พื้นที่ทั้งหมดที่ได้รับมอบหมายให้ทำการสำรวจ 5,130 ตารางเมตร ครอบคลุมทั้งภายในและภายนอกทัณฑสถานเดิม
ทีมสำรวจจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินงาน 75 วัน แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนในการสำรวจภาคพื้นดินโดยใช้เครื่อง GPR จะใช้เวลา 3 – 5 วัน ในส่วนของขั้นตอนการประมวลผล จะใช้เวลาโดยประมาณ 30 – 60 วัน ขึ้นอยู่กับรายละเอียดข้อมูลใต้ดินที่ได้รับจากการสะท้อนของสัญญาณจากเครื่อง GPR และข้อมูลจากหอจดหมายเหตุ นำมาประกอบการวิเคราะห์ต่อไป


ข่าวโดย พิมลกัลย์ เดชะชัย สวท. เชียงใหม่
ภาพโดย กมล เครือนิล ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" สำนักข่าวเชียงใหม่อัปเดตนิวส์ รายงาน