เมื่อเวลา 20.30น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงคำประกาศเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎร ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง11 กรมประชาสัมพันธ์ ภายหลังจากที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ตรา พ.ร.ฎ.ยุบสภาสภาผู้แทนราษฎรโดยมีผลบังคับใช้หลังประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 10 พ.ค.นี้ และ จะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 ก.ค. 2554
ทั้งนี้ นายกฯ ได้กล่าวถึงแนวทางการร่วมกันเดินหน้าประเทศสู่การเลือกตั้งในวันที่ 3 ก.ค.ดังนี้
“สำหรับผม ผมเชื่อว่าการยุบสภาครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นใหม่ด้วย เป็นการเริ่มต้นสำหรับพี่น้องประชาชนอีกครั้งหนึ่ง และเป็นการเริ่มต้นเดินหน้าประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชนและครอบครัว...ผมจึงประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง และด้วยความหวังว่าพี่น้องประชาชนชาวไทยจะได้ใช้โอกาสที่สำคัญในครั้งนี้ ในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้า” นายกฯ กล่าว โดยเป็นการยืนยันถึงการรักษาคำพูดตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับประชาชนในการประกาศให้มีการเลือกตั้งก่อนที่จะครบวาระ
นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวยืนยันว่าประชาชนสามารถมีทางเลือกที่แท้จริงจากการเลือกตั้งนี้ในการตัดสินใจว่าจะให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปอย่างไร พร้อมยืนยันว่า ครอบครัวคนไทยทั่วประเทศต่างเผชิญหน้าในปัญหาเดียวกันซึ่งต้องได้รับการแก้ไขโดยทันที “ผมตระหนักดีว่าในปัจจุบันนี้ พี่น้องประชาชนและครอบครัวจำนวนมาก ยังต้องเผชิญกับปัญหาค่าครองชีพ ข้าวของแพง รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย และรอคอยที่จะได้มีการเดินหน้าแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้... ถามว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นที่พอใจหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ตราบใดที่ยังมีพี่น้องประชาชนและครอบครัว ...ยังคงมีปัญหา ... เราพอใจไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันเราก็พูดได้ว่า การแก้ไขปัญหาปูทางไปสู่การสร้างเศรษฐกิจที่ดี เป็นงานที่เราได้เริ่มต้นแล้ว”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวชัดเจนว่าทั้งหมดนี้และประชาชนคนไทยและครอบครัวยังคงหวังให้รัฐบาลเดินหน้าทำงานต่อไปเพื่อยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ “วันนี้ผมจึงบอกได้ว่าแม้เรายังมีงานต้องทำอีกมาก แต่เราไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ และวันนี้การตัดสินใจของพี่น้องประชาชน จึงเป็นการตัดสินใจว่า วิธีที่ดีที่สุดในการเดินหน้าประเทศไทย แก้ไขปัญหานั้นคืออะไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ได้อธิบายในแถลงการณ์ถึงความมั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการสร้างโอกาสครั้งใหญ่ให้กับประเทศในการให้ประเทศเดินหน้าต่อไปเพื่อพี่น้องประชาชนและครอบครัวบนพื้นฐานของความคืบหน้าจากการทำงานใน 2 ปีกว่าที่ผ่านมา โดยได้กล่าวถึงการทำงานของรัฐบาลที่ได้เริ่มต้นในนโยบายเรียนฟรี 15 ปี โครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ประกันรายได้เกษตรกร ประกันภัยพืชผล การดูแลลูกหลานโดยการปราบปรามกวาดล้างยาเสพติด และเริ่มต้นการยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนแล้วอย่างแท้จริง
แถลงการณ์คืนนี้ยังได้ระบุถึงความสำคัญของการให้เสียงประชาชนส่วนใหญ่ได้แสดงออกถึงความต้องการผ่านการเลือกตั้ง “การตัดสินใจในวันนี้ในการเดินหน้าประเทศ จึงเป็นการตัดสินใจว่า เราจะให้ประเทศของเรานั้นเดินไปในทิศทางไหน จะเดินไปข้างหน้า หรือจะเดินถอยหลัง หรือจะเดินวนจมปลักอยู่กับปัญหาความขัดแย้งที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งทำให้ปัญหาอีกหลาย ๆ อย่างของพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาที่แท้จริง ไม่ได้รับการแก้ไข”
“ผมหวังว่าไม่ว่าประชาชนที่ฟังอยู่จะนิยมชมชอบพรรคการเมืองใด หรือใส่เสื้อสีอะไร เราน่าจะเห็นตรงกันในบางเรื่องผมคิดว่าเราควรจะเห็นตรงกันว่าหลังจากวันนี้ไป การเมืองการปกครองของไทยนั้นต้องยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยไม่เดินออกนอกเส้นทาง ไม่เดินออกนอกรัฐธรรมนูญ ไม่เดินออกนอกกฎหมาย และใครก็ตามที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาล มาบริหารประเทศ จะต้องยึดมั่นผลประโยชน์ของส่วนรวม และผลประโยชน์ประเทศเท่านั้น ไม่ใช่เห็นแก่ประโยชน์ของตัวตน ของพวกพ้อง ของพรรค”
ทั้งนี้ เชื่อว่าสิ่งหนึ่งที่ทุกพรรคการเมืองควรที่จะเห็นชอบด้วยได้แก่การนำปัญหาของประชาชนให้อยู่เหนือปัญหาทางการเมือง หรือของบุคคล หรือพวกพ้อง นายอภิสิทธิ์ยังได้กล่าวถึงความประสงค์ที่จะเห็นทุกพรรคการเมืองร่วมทำงาน เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากวงจรของความขัดแย้งและให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้
นายอภิสิทธิ์ได้สรุปการแถลงการณ์โดยการแสดงความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ และความภาคภูมิใจจากการได้รับใช้ประเทศชาติในฐานะนายกรัฐมนตรีใน 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา
“บางวันเป็นวันที่ผมทำงานและมีความสำเร็จ ผลประโยชน์ต่าง ๆ ตกสู่พี่น้องประชาชน นั่นคือความภาคภูมิใจ นั่นคือความพึงพอใจ ของคนที่เป็นนักการเมืองอาชีพของผม แต่อีกหลายวันผมทราบดีว่างานของผมไม่ประสบความสำเร็จ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น บางวันก็ทำให้พี่น้องประชาชนหลายส่วนผิดหวัง แต่ไม่ว่าจะเป็นวันที่พี่น้องประชาชนสมหวัง หรือผิดหวังนั้น ขอให้มั่นใจได้ว่า ผมได้ทำเต็มความสามารถ เพื่อที่จะตอบแทนสิ่งที่พี่น้องประชาชนได้มอบให้ผม.....ผมมีความเชื่อมั่นในการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน” นายอภิสิทธิ์กล่าวในตอนท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น