<<<<<..... ลักษณะอากาศทั่วไป วันนี้ ( 20 มกราคม 2567 ) เวลา 06.00 น. วันนี้ถึง 06.00 น.ของวันพรุ่งนี้ ภาคเหนือ....ตอนบนของภาค อากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 12-16 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-33 องศาเซลเซียส ตอนล่างของภาค อากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 16-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 35-36 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 4-12 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-15 กม./ชม. กมล เครือนิล ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" สำนักข่าว เชียงใหม่ อัปเดตนิวส์ รายงาน. แหล่งที่มาของข้อมูล : กรมอุตุนิยมวิทยา - https://www.tmd.go.th/thailand.php .....................................................>>>>

แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ประกาศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต






แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ประกาศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต เวลา 15.52 น. สิริพระชนมพรรษา 89
ประกาศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระอาการประชวร ณ โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2557 ตามที่ สำนักพระราชวัง ได้แถลงให้ทราบ
เป็นระยะแล้วนั้น

แม้คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาอย่างใกล้ชิดจนสุดความสามารถ แต่พระอาการประชวรหาคลายไม่ ได้ทรุดหนักลงตามลำดับ ถึงวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 เวลา 15 นาฬิกา 52 นาที เสด็จสวรรคต ณ โรงพยาบาลศิราราช ด้วยพระอาการสงบ สิริพระชนมพรรษาปีที่ 89 ทรงครองพระราชสมบัติได้ 70 ปี


สำนักพระราชวัง
13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559

พ่อเมืองเชียงใหม่ขึ้นดอยปุยให้กำลังใจเด็กหญิงสองพี่น้องชาวม้งดอยปุย-ยันเป็นผู้บริสุทธิ์กรณีถูกแหม่มสาวกล่าวหา



 พ่อเมืองเชียงใหม่ ขึ้นดอยปุยเยี่ยมเด็กหญิงสองพี่น้องชาวม้งดอยปุย ที่ถูกแหม่มสาวกล่าวหาขโมยนาฬิกาบนดอยสุเทพ ยืนยันความจริงปรากฏแล้วว่าเด็กเป็นผู้บริสุทธิ์ พร้อมมอบเงินปลอบขวัญเป็นทุนการศึกษาและเตรียมปรับปรุงซ่อมแซมบ้านพักให้ ขณะเดียวกันจะประสานทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกระทรวงต่างประเทศเพื่อหารือและชี้แจงข้อเท็จจริง ด้านเจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพ รับให้กลับไปแต่งชุดประจำเผ่าถ่ายรูปที่ระลึกได้ตามเดิม 

จากกรณีสื่อออนไลน์ในประเทศอังกฤษมีการนำเสนอข่าวว่านักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพถ่ายลงในสื่อสังคมออนไลน์ระบุว่ามาเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพ ที่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วถ่ายภาพกับเด็กผู้หญิงชาวเขาเผ่าม้งสองคนที่แต่งกายชุดประจำเผ่า ต่อมาปรากฏว่านาฬิกาข้อมือได้หายไป โดยเชื่อว่าเป็นฝีมือของเด็กหญิงทั้งสองคนที่ขโมยไป ซึ่งก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ อย่างไรก็ตามต่อมาความจริงเริ่มปรากฏว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง โดยที่นักท่องเที่ยวหานาฬิกาพบแล้ว แต่กลับไม่มีการนำเสนอข่าวความคืบหน้าเพื่อให้เด็กพ้นข้อกล่าวหา
ช่วงเย็นของวันที่ 6 ต.ค.59 นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมคณะได้เดินทางลงพื้นที่บ้านดอยปุย หมู่ที่ 11 ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่เพื่อตรวจเยี่ยมเด็กหญิงชาวม้งสองพี่น้องและครอบครัว  โดยได้กล่าวกับพ่อแม่ของเด็กว่า ขณะนี้ได้มีการยืนยันแล้วว่า เด็กทั้งสองคนเป็นผู้บริสุทธิ์ พ้นจากข้อกล่าวหา ซึ่งหลังจากเกิดเรื่อง ทางจังหวัดเชียงใหม่ได้ประสานไปยังกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงการต่างประเทศเพื่อชี้แจงและหารือในเรื่องดังกล่าว และขณะนี้เป็นที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า นักท่องเที่ยวหญิงชาวอัง กฤษคนนั้นได้หานาฬิกาที่หายไปพบแล้ว ซึ่งสร้างความดีใจให้กับพ่อแม่ของเด็กทั้งสองเป็นอย่างมาก จากนั้นได้มอบเงินปลอบขวัญเพื่อเป็นการเยียวยาทางด้านจิตใจให้แก่เด็กทั้งสองคนไว้เป็นทุนการศึกษา พร้อมทั้งนำเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจบ้านพักอาศัย ซึ่งพบว่าอยู่กันอย่างแออัด จึงจะได้เสนอเข้าโครงการหมู่บ้านกาชาด เพื่อปรับปรุงซ่อมแซมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป
นอกจากนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ยังได้แจ้งว่า พระเทพวรสิทธาจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพ ราชวรวิหาร อนุญาตให้ เด็กชาวเขากลับไปทำงานหารายได้พิเศษ ด้วยการแต่งชุดชนเผ่าถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวได้เช่นเดิม หลังพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้สร้างความเสียหายแก่นักท่องเที่ยวจริง เพราะกิจกรรมดังกล่าวเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว แต่จะต้องมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อจัดระเบียบให้ดีขึ้น เพื่อให้เป็นภาพลักษณ์ที่ดีต่อการท่องเที่ยวขอจังหวัดเชียงใหม่ต่อไป.

กมล เครือนิล ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" สำนักข่าว เชียงใหม่อัปเดตนิวส์ รายงาน










สวนสัตว์เชียงใหม่ได้สมาชิกใหม่ กระเรียนหงอนพู่ หรือนกกระเรียนมงกุฏเทา



ยินดีกับความสำเร็จของสวนสัตว์เชียงใหม่ได้สมาชิกใหม่  กระเรียนหงอนพู่ หรือนกกระเรียนมงกุฏเทา จำนวน 2 ตัว เพิ่มขึ้นเป็น 13 ตัว หลังจากเพาะขยายพันธุ์มานาน พร้อมเปิดให้ได้ชมความน่ารักโดยเฉพาะเด็กๆ ช่วงปิดเทอมได้เห็นของจริง ยัง สวนชมนกนครพิงค์นกประจำชาติของประเทศยูกันดา 

นายนิพนธ์ วิชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสวนสัตว์เชียงใหม่ เผยว่าช่วงสายของวันนี้  ได้รับแจ้งเจ้าหน้าที่ ได้พบลูกนกกระเรียนหงอนพู่ หรือนกกระเรียนมงกุฏเทา  เพิ่มอีก 2 ตัว กำลังอยู่กับพ่อและแม่ อยู่จุดแสดงบริเวณทางเข้าสวนชมนกนครพิงค์ ตรวจสอบ เบื้องต้นสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดีแต่ยังไม่ทราบเพศ นับว่าเป็นเป็นความสำเร็จในการเพาะขยายพันธุ์นกกระเรียนหงอนพู่ของสวนสัตว์ เชียงใหม่ใน ทำให้ขณะนี้สวนสัตว์เชียงใหม่มีนกชนิดนี้รวมทั้งสิ้น 13 ตัว จากเดิมมี 11 ตัว โดยจะเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะเด็กในช่วงปิดเทอมนี้ เข้าไปชมความน่ารักของลูกนกทั้งสอง และฝูงนกกระเรียนหงอนพู่  บริเวณทางเข้าสวนชมนกนครพิงค์
สำหรับนกกระเรียนหงอนพู่หรือนกกระเรียนมงกุฎเทา (Grey crowned crane) เป็นนกในวงศ์นกกระเรียน พบในทุ่งหญ้าสะวันนาในทวีปแอฟริกาทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา ทำรังในพื้นที่เปียกชื้น ไม่ใช่นกอพยพ   ลักษณะลำตัวถือเป็นนกขนาดใหญ่ บนหัวมีหงอนพู่เป็นเส้นตรงสีขาวนวล โคนหงอนอยู่ตรงท้ายทอยเป็นกระจุก ปลายบานออกเป็นทรงกลม หน้าผากถึงโคนจมูกมีขนละเอียดสีดำสนิทเป็นก้อนเหมือนกำมะหยี่ แก้มทั้งสองข้างเป็นหนังสีแดงมีแต้มขาวอยู่ตอนบน คอ หน้าอก หลัง หาง และท้องสีดำปีกครึ่งหน้าสีขาว ครึ่งหลังสีน้ำตาลแดง ปลายปีกดำ ขายาวสีเทาแก่ทั้งสองเพศมีลักษณะคล้ายกัน เพศผู้ตัวใหญ่กว่าเล็กน้อย   นกวัยอ่อนมีสีเทามากกว่านกที่โตเต็มวัย กับมีขนสีน้ำตาลอมเหลืองที่หน้า ด้านพฤติกรรมนั้น มีการจับคู่ผสมพันธุ์ที่ประกอบไปด้วยการเต้นรำ การก้มตัว และการกระโดด มันเปล่งเสียงร้องจากการขยายตัวของถุงลมสีแดงที่คอ ทำให้เสียงร้องของมันต่างจากเสียงคล้ายแตรของนกกระเรียนชนิดอื่น
นอกจากนี้ ยังเป็นนกที่มีสายตาไกล และไวมาก ชอบอยู่เป็นฝูง หากินตามทุ่งกว้างที่มีน้ำและกอหญ้าหรือบึงหนองในป่าที่ห่างไกลผู้คน นกกระเรียนหงอนพู่ต่างกับนกกระเรียนชนิดอื่นตรงที่มันอาจบินไปเกาะตามกิ่ง ไม้สูงๆ การสร้างรังจะสร้างจากหญ้าและพืชอื่นๆ ในพื้นที่ชุ่มน้ำ
 นกกระเรียนมงกุฎเทาวางไข่ครั้งละ 2-5 ฟอง พ่อและแม่ช่วยกันฟักไข่และใช้เวลา 28-31 วันจึงฟักเป็นตัว ลูกนกขนจะขึ้นเต็มที่ใน 56-100 วัน มีความสูงประมาณ 1 เมตร หนัก 3.5 กิโลกรัม ขนลำตัวเป็นสีเทา ปีกมีสีขาวเด่น ที่หัวมีพู่ขนแข็งสีทอง แก้มสีขาวมีถุงลมที่คอสีแดง ปากสั้นสีเทา และขาสีดำ   นกกระเรียนหงอนพู่กินเมล็ดพืช ผัก ผลไม้ หอย ปู ปลา และแมลงต่างๆ ที่ไม่มีกระดูกสันหลังเป็นอาหาร อีกทั้งยังเป็นนกประจำชาติของประเทศยูกันดา ปรากฏอยู่ในธงชาติและตราแผ่นดินด้วย นกกระเรียนมงกุฎเทามี 2 ชนิดย่อยคือ ชนิดย่อยแอฟริกาตะวันออก (B. r. gibbericeps, นกกระเรียนจุก) พบจากทางตะวันออกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกถึงประเทศยูกันดา และประเทศเคนยาถึงทางตะวันออกของประเทศแอฟริกาใต้ มันมีพื้นที่หนังเปลือยสีแดงบนหน้าเหนือแต้มสีขาวขนาดใหญ่ใหญ่กว่าอีกชนิดย่อย B. r. regulorum (นกกระเรียนมงกุฎแอฟริกาใต้) พบจากประเทศแองโกลาลงใต้ถึงประเทศแอฟริกาใต้ สำหรับในประเทศไทย นกกระเรียนมงกุฎเทามีจัดแสดงที่สวนสัตว์เชียงใหม่ นับเป็นความสำเร็จในเวลาหลายปีของการขยายพันธุ์ในครั้งนี้

กมล เครือนิล สำนักข่าว เชียงใหม่อัปเดตนิวส์ รายงาน











พวกมักง่ายนำขยะทิ้งนอกบ่อขยะ สร้างปัญหามลพิษด้านหลังวิทยาลัยอาชีพจอมทองเชียงใหม่


สุดมักง่ายชาวบ้านและผู้ประกอบการแอบทิ้งขยะข้างวิทยาลัยอาชีพจอมทองกว่า 10 จุดส่งกลิ่นเหม็นหึ่งแมลงวันตอมจากการสังเกตมีทั้งเศษผัก เศษอาหาร และเศษวัสดุก่อสร้าง สร้างความเดือดรอนให้กับชาวบ้านและนักเรียนที่อาศัยอยู่ใกล้กับริเวนดังกล่าว 

ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บริเวณถนนข้างวิทยาลัยการอาชีพจอมทองเป็นทางเข้าวัดพระธาตุดอยพระเจ้า หมู่บ้านพรสวรรค์ หมู่ที่ 15 ตำบลข่วงเปา อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมกับชาวบ้านรายหนึ่งที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาขยะที่มีคนแอบนำมาทิ้งข้างทางถนนสายดังกล่าวมาเป็นเวลานานับ 10 ปี สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านและนักศึกษาในวิทยาลัยการอาชีพอำเภอจอมทอง เป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นกลิ่นขยะและแมลงวันที่มาตอมขยะ ซึ่งอยู่ห่างจากชุมชน วิทยาลัยการอาชีพจอมทอง และค่ายลูกเสือแห่งชาติ อำเภอจอมทอง ไม่กี่ร้อยเมตร โดยจากการสังเกตพบว่ากองขยะในเส้นทางดังกล่าวเป็นจุดๆตั้งแต่ทางเข้าไปตามถนนใกล้เคียงกับบ่อขยะรวมทั้งหมดประมาณ 10 จุด โดยขยะที่พบส่วนใหญ่จะเป็นเศษผัก เศษอาหาร รวมถึงขยะทั่วไปและเศษวัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะเป็นขยะจากต่างพื้นที่ ที่ผู้ประกอบการรับจ้างกำจัดขยะ พ่อค้าเกษตรกรผู้ปลูกผัก ตลอดจนผู้ประกออบการรับเหมาก่อสร้างสวมรอยมาทิ้งบริเวณดังกล่าว เนื่องจากบริเวณใกล้กันมีบ่อขยะของเทศบาลตำบลจอมทองและองค์การบริหารส่วนตำบลข่วงเปา รวมทั้งหมด 2 บ่อแต่จะเปิด ปิดเป็นเวลาและมีคนเก็บขยะในบ่อเฝ้าตลอด ทำให้มีการสวมรอยนำขยะมาทิ้งใกล้บริเวณดังกล่าวช่วงกลางคืนประกอบกับบริเวณดังกล่าวเป็นป่าละเมาะและมีทางเข้าออกหลายด้านทำให้สะดวกต่อการแอบนำขยะมาทิ้งและยากลำบากต่อการเฝ้าจับตาของเจ้าหน้าที่ โดยก่อนหน้านี้มีการจับกุมคนที่นำเอาขยะมาทิ้งและถูกปรับโดยคณะกรรมการหมู่บ้านพรสวรรค์ มาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ยังมีการนำขยะมาทิ้งบริเวณดังกล่าวอยู่ตลอด

ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" สำนักข่าว เชียงใหม่อัปเดตนิวส์ รายงาน 






ทะเลสาบดอยเต่าฟื้นคืนชีพหลังแล้งกว่า 4 ปี


ฝนตกน้ำเหนือไหลลงเขื่อนภูมิพลส่งผลให้ทะเลสาบดอยเต่าฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังจากประสบปัญหาภัยแล้งนานกว่า 4 ปี ส่วนผู้ประกอบการร้านอาหารเรือนแพ ต่างเปิดบริการให้กับนักท่องเที่ยว ขณะเดียวกันเริ่มมีมักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวบ้างแล้วถึงแม้ปริมาณน้ำจะไม่มากเหมือนสมัยก่อน นอกจากนี้ชาวประมงในพื้นที่เริ่มนำเรือออกมาหาปลากลางลำน้ำปิงสร้างรายได้

ฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องหลายพื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ ช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้ปริมาณลำน้ำสาขาของแม่น้ำปิงเพิ่มขึ้นมากส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลเพิ่มสูงขึ้นทำให้เกิดผลดีกับทะเลสาบดอยเต่า หลังจากประสบภัยแล้งมานานกว่า 4 ปี ซึ่งจากข้อมูลของชลประทานจังหวัดเชียงใหม่ ช่วงนี้มีน้ำไหลลงเขื่อนภูมิพล ช่วงนี้ วันละ 15-16 ล้าน ลูกบาศก์เมตร ถึงแม้ปริมาณน้ำจากไม่มากเหมือนอดีตที่เป็นเวิ้งแม่น้ำกว้างไกลสุดลูกตา แต่น้ำเหนือปริมาณมากก็ไหลลงทางตัวเขื่อนตลอดเวลา ทำให้เกิดเป็นเวิ้งแม่น้ำขนาดใหญ่ บริเวณดังกล่าว ส่วนผู้ประกอบการแพนำเที่ยวต่างซ่อมแซมแพนำเที่ยวของตนแล้วมาเปิดบริการนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 1 สัปดาห์หลังจากปริมาณน้ำเริ่มมากและนักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาท่องเที่ยว ขณะเดียวกันชาวประมงในพื้นที่เริ่มนำเรือหาปลาที่จอดไว้นานกว่า 4 ปี ออกมาหาปลาตามลำน้ำปิง เพื่อนำไปขายให้กับพ่อค้าที่มารับซื้อถึงที่
ด้านนางพร้อมพรรณ นันต๊ะสาร ชาวบ้านแปลง 5 หมูที่ 3 ตำบลท่าเดื่อ อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ประกอบการแพนำเที่ยว เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาในพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้งอย่างหนักส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลลดลงจนทำให้ผู้ประกอบการแพนำเที่ยวต้องหยุดให้บริการมานานกว่า 4 ปี หลังจากปริมาณน้ำในแม่น้ำปิง เริ่มมากก็เริ่มซ่อมแซมแพนำเที่ยวทั้งหมดที่เหลือ 3 ลำส่วนอีก 3 ลำได้รับความเสียหายจากการที่แพเกยตื้นอยู่บนบกเป็นเวลานาน หลังจากนั้นได้เปิดให้บริการกับนักท่องเที่ยวด้านที่พักและอาหารได้ประมาณ 1 สัปดาห์ แต่ยังไม่มีบริการทำเที่ยวไปเขื่อนภูมิพล เนื่องจากปริมาณน้ำยังมีไม่มากพอคงต้องรออีกสักพัก
สำหรับทะเลสาบดอยเต่า เป็นพื้นที่น้ำท่วมหลังการสร้างเขื่อนภูมิพล ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่เหนือเขื่อนภูมิพล เป็นพื้นที่การเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ และทำประมง แต่เนื่องจากภูมิประเทศที่สวยงามเหมาะกับการท่องเที่ยวที่นี่จึงได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว ทำให้ผู้ประกอบการจัดบริการแพนำเที่ยวและเรือนำเที่ยวไปยังเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก จนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในอดีต ส่วนการเดินทางจากเชียงใหม่ไปทะเลสาบดอยเต่าจะใช้ทางหลวงหมายเลข 108 ไปยังอำเภอฮอด ระยะทาง 90 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายสู่ทางหลวงหมายเลข 1103 ไปยังทะเลสาบดอยเต่าอีก 35 กิโลเมตร รวมระยะทางจากจังหวัดเชียงใหม่ 125 กิโลเมตร

ขอบคุณแหล่งที่มาของภาพและข่าว
กมล เครือนิล ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" สำนักข่าว เชียงใหม่อัปเดตนิวส์ รายงาน












เด็กชาวเขาเผ่าม้งหายไปจากวัดพระธาตุดอยุสเทพหลังโดนกล่าวหาเป็นโจร



เด็กน้อยชาวเขาเผ่าม้งจากดอยปุย ที่เคยสวมชุดประจำเผ่ามาสร้างสีสันให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพตลอดในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาได้หายไปจากวัดพระธาตุดอยสุเทพหลังเกิดกรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติกล่าวหาว่าเป็นโจรขโมยนาฬิกา ผู้ปกครองกลัวเสียชื่อเสียงห้ามลูกหลานมาอีกทำให้ขาดสีสันที่เคยมี หลายคนวอนให้แก้ไขตราบาปของเด็กชาวเขาทั้งๆที่ไม่เคยทำ

ก่อนหน้านี้จากสำนักข่าวของประเทศอังกฤษมีการนำเสนอข่าวว่านักท่องเที่ยวหญิงชาวอังกฤษได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพถ่ายลงในสื่อสังคมออนไลน์ระบุว่ามาเที่ยววัดพระธาตุดอยสุเทพ ที่จังหวัดเชียงใหม่ แล้วถ่ายภาพกับเด็กผู้หญิงที่แต่งกายชุดชนเผ่าสองคน ต่อมาปรากฏว่านาฬิกาข้อมือได้หายไป ซึ่งเชื่อว่าเป็นฝีมือของเด็กหญิงทั้งสองคนที่ขโมยไป ซึ่งก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่
จนเกิดกรณีที่ต้องมาติดตามความชัดเจนผู้ปกครองของเด็กทั้งสองคนออกมายืนยันลูกไม่ได้มีพฤติกรรมอย่างที่ถูกกล่าวหาและร้องขอความเป็นธรรม อีกทั้งไม่มีการแจ้งความในพื้นที่เพื่อดำเนินการสืบสวนอย่างถูกต้องแต่กลับมีการกล่าวหากันเช่นนี้ส่งผลให้ทั้งผู้ปกครอง และเด้กทั้งสองคน รวมทั้งประชาชนในพื้นที่เกิดความไม่สบายใจ และล่าสุดก็ยังไม่มีควมคืบหน้าจากทางตำรวจที่จะช่วยแกะรอยจากวงจรปิดหรือพิสูจน์ความจริงให้เด็กทั้งๆ ที่ถูกตาหรน้าว่าเป็นโจรอย่างไม่เป็นธรรม 
ล่าสุดทางทีมข่าวขึ้นไปสำรวจที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งปกติผู้ปกครองเด็กชาวเขาเผ่าม้งจากบ้านม้งดอยปุย จะมาค้าขายที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ และพาบุตรหลานสวมชุดประจำเผ่าม้งที่สวยงามมานั่งเล่น และถ่ายภาพคู่กับนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาท่องเที่ยวเพื่อเป็นสีสันและถือเป็นอีก 1 สัญลักษณ์ของดอยสุเทพกับชาวม้งดอยปุยที่อยู่อาศัยพบดอยดอยแห่งนี้เป็นเวลามานานหลายสิบปีแล้วที่นักท่องเที่ยวจะได้เห็นเด็กชาวเขาเหล่านี้มาวิ่งเล่น และให้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพในช่วงวันหยุดและวันปิดภาคเรียน
แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นผู้ปกครองของเด็กชาวเขา ซึ่งปกติจะพามาช่วงหวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ก็ได้สั่งห้าม และไม่ยอมพาลูกหลานมาเช่นเคยเนื่องจากเกรงจะเสียชื่อเสียงของสถานที่ และยังกลัวว่าจะถูกมองไม่ดีเป็นโจรทั้งๆ ที่เด็กๆเหล่านี้ไม่เคยมีพฤติกรรมดังที่ถูกกล่าวหาและเป็นเด็กที่ชาวบ้านจะช่วยกันสอดส่องดูแลเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ด้วย ตอนนี้ทำให้เด็กเหล่านี้หลายไปจากวัดพระธาตุดอยสุเทพมานานเกือบ 2 สัปดาห์ ซึ่งชาวบ้านที่ค้าขายย่านนี้รวมทั้งชาวเชียงใหม่เองก็วอนอยากให้ความจริงกระจ่างชัดและหน่วยงานทางรัฐบาลต้องกู้ศักดิ์ศรีให้เด็กชาวม้งตัวน้อยทั้ง 2 คนด้วอย่าเพียงมองว่าเป็นเด็กชาวเขา ซึ่งตอนนี้สภาพจิตใจของเด็กทั้ง2คนและครอบครัวบอบช้ำอย่างมากจากความไม่เป็นธรรมครั้งนี้

ทีมข่าว "ที่นี่....เชียงใหม่" สำนักข่าว เชียงใหม่อัปเดตนิวส์ รายงาน