ผู้ตรวจการแผ่นดินลงพื้นที่ม่อนแจ่ม หลังผู้ประกอบการร้องมีการรื้อรีสอร์ทและดำเนินคดีกับชาวบ้านไม่เป็นธรรม
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 3 พย. 63 พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน พร้อมด้วย นายวทัญญู ทิพยมณฑา รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน พันโท เทพจิต วีณะคุปต์ ผู้อำนวยการสำนักสอบสวน 4 และคณะ ลงพื้นที่ม่อนแจ่มร่วมกับนายกมล นวลใย ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) และนายพีระชาติ เรืองประดิษฐ์ หัวหน้าศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอย เพื่อติดตามแก้ไขปัญหาการบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ริม (ม่อนแจ่มและพื้นที่ใกล้เคียง) ตำบลโป่งแยง และตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นำที่ดินไปใช้ประกอบธุรกิจที่พัก – รีสอร์ท ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการหลวงหนองหอย ชี้หน่วยงานต้องพิสูจน์สิทธิให้ชัดเจน มุ่งรักษาป่าพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ วางแนวทางสร้างวิสาหกิจชุมชนอย่างเหมาะสมยั่งยืนพร้อมกับได้มีการเรียกผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบมาพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน
พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า ตามที่มีผู้ประกอบการธุรกิจที่พักในพื้นที่ม่อนแจ่มร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเนื่องจากได้รับความเดือดร้อนกรณีถูกกรมป่าไม้ดำเนินคดีอาญาในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และประกาศให้ระงับการประกอบธุรกิจ อีกทั้งมีคำสั่งให้รื้อถอนสถานประกอบการนั้น ในวันนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมพบปะประชาชนที่เดือดร้อนจากกรณีดังกล่าว โดยพบว่าป่าแม่ริมเป็นต้นน้ำลำธารจัดอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 เอ มีขนาดพื้นที่กว่า 13,000 ไร่ เป็นพื้นที่ที่โครงการหลวงหนองหอยขอใช้ประมาณ 2,000 ไร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ราษฎรในพื้นที่ใช้ที่ดินทำเกษตรกรรมทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งมีราษฎรเข้าร่วมโครงการประมาณ 900 กว่าราย แต่ปัจจุบันได้มีการแปรสภาพกลายเป็นธุรกิจที่พัก – รีสอร์ท จำนวน 113 ราย โดยเป็นกลุ่มที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบสิทธิ์ จำนวน 82 ราย และถูกดำเนินคดีแล้ว 31 ราย เนื่องจากเข้าข่าย กระทำความผิดชัดเจน นำที่ดินไปใช้ไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของโครงการหลวงหนองหอย รวมทั้งมีการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มเติม เปลี่ยนมือเจ้าของ หรือขายกิจการให้นายทุนต่างชาติ ทั้งนี้ ราษฎรที่ทำเกษตรกรรมในพื้นที่ตามเดิมและไม่มีการบุกรุกเพิ่มเติมจะไม่ได้รับผลกระทบจากกรณีนี้
พลเอก วิทวัส บอกกว่า สำหรับการพิสูจน์สิทธิ์ในที่ดินทำกินให้ดำเนินการภายใต้หลักการพิสูจน์ว่า คนอยู่ก่อนประกาศเขตป่าหรือไม่ หากเป็นกรณีคนอยู่ก่อนประกาศเขตป่า พ.ศ. 2507 ก็ให้ดำเนินการโดยอาศัยประมวลกฎหมายที่ดิน 2497 สามารถไปเดินเรื่องออกเอกสารสิทธิครอบครองที่ดินทำกินต่อไปได้ ถ้ากรณีมีการประกาศเขตป่าก่อนให้ใช้หลักการแก้ปัญหาตามสภาพข้อเท็จจริง โดยจะอาศัยการอ่านภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศและแผนที่ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบร่องรอยการทำกินว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรมาประกอบการพิจารณาสิทธิในแต่ละแปลง นอกจากนี้ ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเร่งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนแม่บทบริหารจัดการพื้นที่และการอยู่ร่วมกันของชุมชนเพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความปลอดภัย สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยไม่ทำลายซึ่งกันและกัน คงไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ดังเดิม อาจมีการพัฒนาในรูปแบบวิสาหกิจชุมชนหรือการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเพื่อส่งเสริมระบบเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน
ด้านนายวิชิต เมธาอนันต์กุล ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเชิงเกษตรม่อนแจ่ม เปิดเผยว่าที่ผ่านมาชาวบ้านถูกภาครัฐใช้อำนาจรังแกมาตลอด ในอดีตชาวบ้านอยู่มาตั้งแต่ปี พ.ศ /ถ2507 ก่อนการประกาศเป็นพื้นที่ป่าสงวน ชาวบ้านจึงน่าจะมีสิทธิในพื้นที่ และการประกอบกิจการท่องเที่ยว ก็เป็นเพราะทางโครงการหลวงมาส่งเสริม จึงมีการก่อสร้างดัดแปลงเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ซึ่งตอนนี้สภาพการท่องเที่ยวซบเซา เพราะปัญหาโควิด รวมถึงถูกภาครัฐบีบทุกทาง ซึ่งผู้ประกอบกิจการที่เหลือก็ยังคงเปิดกิจการเหมือนเดิม อยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวขึ้นมาท่องเที่ยวได้เหมือนเดิม เพราะการต่อสู้ด้านกฎหมายเราก็จะเดินหน้าสู้เพื่อความเป็นธรรมให้กับชาวบ้านในพื้นทีม่อนแจ่ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น